วันพุธที่ 21 มีนาคม พ.ศ. 2555

เครื่องสำอางรวยข้ามคืน?


ใครๆ ก็อยากจะมีธุรกิจเครื่องสำอางของตนเอง... เพราะอะไร?

"รวยข้ามคืน" จริงหรือ?
ถ้าขายเครื่องสำอางรุ่ง



       คำพังเพย "รวยข้ามคืน" เป็นการเปรียบเปรยให้รู้ว่า คุณสามารถที่จะรวยอย่างรวดเร็วได้   แล้วคำพังเพยนี้นำมาใช้ได้กับธุรกิจทุกอย่างมั้ย? -- มีไม่กี่ธุรกิจหรอกครับที่จะทำได้ ยกตัวอย่างให้ดู เช่น ธุรกิจสื่อสารคมนาคม ค้ายาบ้า เป็นต้น
       ถ้าเป็นธุรกิจสื่อสาร ในอดีตคุณต้องมีความสัมพันธ์ที่ดีกับผู้นำรัฐบาล มีวิสัยทัศน์ และต้องมีเงินเป็นระดับร้อยล้าน   อย่างท่านนายกทักษิณในอดีตเป็นต้น   แต่เดี๋ยวนี้มันก็ไม่ง่ายอย่างเดิมอีกแล้ว และธุรกิจค้ายาบ้าละ   แน่นอนครับ เพราะว่าคุณสามารถรับซื้อจากผู้ผลิตได้ที่ราคาเม็ดละ 1 บาท แล้วนำมาขาย 200 บาทต่อเม็ด -- กำไรมหาศาล แต่คุณอาจจะไม่ได้อยู่ใช้เงินตลอดชีวิต!
       ... และอีกธุรกิจที่ใกล้เคียงกัน -- ธุรกิจขายเครื่องสำอางครับ -- แต่คุณจะมีแต่ความสุข เพราะคุณได้ช่วยเหลือให้ผู้อื่นดูดีขึ้น สวยขึ้น และที่สำคัญคือคุณก็จะมีรายได้เข้ามาเป็นกอบเป็นกำและมั่นคง   ผมไม่ได้คุยนะ   คุณลองดูตัวอย่าง เจ้าของเครื่องสำอางยี่ห้อ "รีเทิร์ท" ดูสิ   เมื่อก่อนยังลำบาก แทบจะไม่มีกินเลย   แต่ตอนนี้ทรัพย์สินเป็นร้อยล้าน -- ในช่วงไม่กี่ปีเท่านั้นเอง!!!
       ผมจะแยกแยะรายละเอียดให้คุณเห็นและเข้าใจว่า เพราะอะไร ผมถึงพูดเช่นนั้น   สมมุติว่า คุณได้พบกับกลุ่มเป้าหมายที่ชัดเจน และมีสินค้าที่คุณได้เลือกไว้เป็นอย่างดีแล้ว (ถ้าคุณยังไม่ได้อ่านบทนี้ ให้ย้อนกลับไปอ่านได้ที่นี่ -- กดคลิ๊ก -- และคุณจะเข้าใจมากขึ้น)
       ตอนนี้ก็ถึงเวลาที่คุณจะต้องลงทุนเองจริงๆ   ดังนั้นก่อนที่จะลงทุนคุณก็ต้องมาหาต้นทุน และตั้งราคาขาย แล้วคำนวณดูว่าคุณจะมีกำไรเหลือเท่าไหร่
       สมมุติว่า คุณเลือกจะขายครีมบำรุงผิวให้หน้าขาวใสตัวหนึ่ง (ตามที่กลุ่มเป้าหมายของคุณชอบ) และคุณมีงบจำกัด   จึงคิดลงทุนที่ 1 กิโลกรัมก่อนในช่วงต้น (ราคาครีมตัวนี้จะอยู่ที่ 2,000 - 6,000 บาท/ก.ก. สมมุติว่า คุณเลือกที่ราคา 3,000 บาท/ก.ก.)   ผมจะยกตัวอย่างให้ดู 2 กรณี --
  • ขายราคาไม่แพง และ
  • ขายราคาปานกลาง
       ซึ่งทั้งสองราคานี้ ความแตกต่างขึ้นอยู่กับมูลค่าเพิ่มที่คุณใส่เข้าไปในตัวสินค้า เช่น คุณภาพของตลับที่บรรจุ (แพคเก็จจิ้ง) และฉลากระบุสรรพคุณพร้อมวิธีใช้ (สติ๊กเกอร์)
หมายเหตุ: โดยทั่วไป การซื้อตลับมาใส่เนื้อครีม จะต้องมีปริมาณขั้นต่ำ (Minimum -- เรียกกันสั้นๆ ว่า มิน) ที่ 100 ชิ้น และพิมสติ๊กเกอร์ก็มีมินที่ 1,000 ชิ้นขึ้นไป
ถ้าคุณมีงบจำกัดและต้องการพิมพ์สติ๊กเกอร์จำนวนน้อย เพียงแค่ 100 - 200 ดวง และคุณไม่รู้ว่าจะติดต่อที่ไหน ที่เขายอมทำให้   คุณสามารถติดต่อได้            02-153-4561       หรือที่ ฝ่ายขาย
(แต่ถ้าคุณต้องการพิมพ์สรรพคุณและวิธีใช้ลงไปที่ตลับเลย   จะมีมินที่ 3,000 - 10,000 ชิ้น -- เก็บไว้คุยกัน เมื่อธุรกิจของคุณเติบโตก่อนแล้วกัน)
กรณีที่ 1: ขายราคาไม่แพงที่ 80 บาทต่อตลับ   ครีม 1 ก.ก. (1,000 กรัม) บรรจุลงตลับ 5 กรัมได้ 200 ตลับ (คุณทำการบรรจุครีมลงตลับและติดสติ๊กเกอร์เอง)
  • ครีมบำรุงผิวหน้าขาวใส 1 ก.ก. ราคา                             3,000 บาท
  • ตลับ 5 กรัม จำนวน 200 ตลับๆ ละ 8 บาท รวม                 1,600 บาท
  • ค่าสติ๊กเกอร์ 200 ดวงๆ ละ 1.50 บาท                             300 บาท
                                               ลงทุนรวม              4,900 บาท
ขายราคาตลับละ 80 บาท x 200 ตลับ เป็นเงิน                   16,000 บาท
นั่นคือ คุณมีกำไรทั้งสิ้น (16,000 - 4,900)                         11,000 บาท (คิดเป็น 224%)
กรณีที่ 2: ขายราคาปานกลางที่ 150 บาทต่อตลับ   ครีม 1 ก.ก. (1,000 กรัม) บรรจุลงตลับ 5 กรัมได้ 200 ตลับ (คุณทำการบรรจุครีมลงตลับและติดสติ๊กเกอร์เอง)
  • ครีมบำรุงผิวหน้าขาวใส 1 ก.ก. ราคา                             3,000 บาท
  • ตลับ 5 กรัม จำนวน 200 ตลับๆ ละ 15 บาท รวม               3,000 บาท
  • ค่าสติ๊กเกอร์ 200 ดวงๆ ละ 1.50 บาท                             300 บาท
                                               ลงทุนรวม               6,300 บาท
ขายราคาตลับละ 150 บาท x 200 ตลับ เป็นเงิน                  30,000 บาท
นั่นคือ คุณมีกำไรทั้งสิ้น (30,000 - 6,300)                          23,700 บาท (คิดเป็น 376%)
       นั่นหมายความว่า คุณลงทุนไป 100 บาท คุณจะมีกำไรอยู่ที่ 224% - 376% -- ว้าว คุณคิดว่ามีธุรกิจอะไรที่จะให้ผลตอบแทนมากเท่านี้ได้มั้ยละ?
        ผมกำลังชี้ช่องให้คุณเห็นว่า ทำไมคนที่ขายเครื่องสำอางรุ่ง เขาถึงมีเงินมากมายขนาดนั้น และผมขอย้ำเลยนะครับว่า ต้นทุนของครีมยี่ห้อดังๆ ในไทยราคาก็ไม่ได้แตกต่าง (หรืออาจจะถูกกว่าด้วยซ้ำ แต่ขายราคาสูงลิ่ว) ไปจากที่ผมยกตัวอย่างมาให้คุณดู   และก็มีหลายยี่ห้อ ไม่ได้มีนวัตกรรมที่ทันสมัยอะไรเลย (นอกจากเขียนคำฝอยให้คุณเคลิบเคลิ้ม และหลงไปกับคำเคลิ้มพวกนั้น)
       ถึงตอนนี้ คุณคงเข้าใจแล้วนะครับว่า เพราะอะไร?   ใครๆ ก็อยากจะเข้ามาเป็นเจ้าของธุรกิจขายเครื่องสำอาง ไม่ว่าจะเป็นดาราภาพยนตร์ไทย (ไม่เว้นแม้แต่ดาราฮอลลีวู๊ด อย่างบริทนีย์ สเปียร์ เป็นต้น) นักธุรกิจ เจ้าของบริษัทขายตรงทั่วโลก และอื่นๆ อีกมาก -- แล้วคุณละครับ?... คิดอยากจะเป็นเจ้าของธุรกิจเครื่องสำอางบ้างมั้ย? -- หรือถ้าคุณคิดว่า คุณพอใจกับชีวิตที่เป็นอยู่ ก็อย่าอ่านต่อไปเลยครับ เพราะจะเสียเวลาคุณเฉยๆ








ที่มา :: http://brecosmeticlab.com

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น